top of page

เดินป่าบอร์เนียวที่ Brunei Darussalam

  • wanida chiang
  • May 8, 2017
  • 2 min read

ตอนเด็กๆ ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับประเทศบรูไนอยู่ 3 อย่าง คือองค์สุลต่านแห่งบรูไนเคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ และภาพมัสยิดโดมทองกลางเมืองหลวงบันดาร์เสรีเบกาวัน ถึงแม้โตมาจะรู้เพิ่มว่าบรูไนมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นป่าฝนบนเกาะบอร์เนียวที่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ก็ยังจินตนาการก่อนเดินทางไปถึงที่นั่นว่า ผู้คนคงร่ำรวย ขับรถหรู มีไลฟ์สไตล์ไฮโซ...ซึ่งผิดคาด คาดไม่ถึง และประทับใจกว่าที่คิดเป็นอย่างมาก เมื่อได้รู้จักประเทศนี้ในแง่มุมที่ต่างออกไป

ยอดโดมทองของมัสยิด Omar Ali Saifuddien ต้องแสงอาทิตย์ในยามเย็น มัสยิดแห่งนี้คือภาพจำอันคุ้นเคยหากกล่าวถึงประเทศบรูไน

แต่ถ้ามาถึงที่นี่ในยามเย็น เสียงประกาศเรียกละหมาดที่ดังกึกก้องก็ช่วยเสริมความสง่างามให้กับมัสยิดแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง

ในเมืองหลวงก็มีป่า

กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน หรือคนที่นี่เขาเรียกเก๋ๆ ว่า BSB ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่โตนัก ไม่ได้เต็มไปด้วยตึกระฟ้า รถราก็ไม่แออัด ผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ใช้ชีวิตสบายๆ สโลว์ไลฟ์สัก 2 ทุ่ม ใจกลางเมือง หรือแถวมัสยิดโดมทอง Omar Ali Saifuddien ก็เรียกว่าแทบร้างผู้คนแล้ว ตอนแรกนึกว่าคนรีบกลับบ้าน แต่ไม่ใช่ คนบรูไนเขาก็มีย่านนัดพบยามเย็นหลังเลิกงานเหมือนกัน เรียกว่าย่าน Gadong ซึ่งห่างจากย่านกลางเมืองไปประมาณ 3 กิโลเมตร มีทั้งร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ ร้านกาแฟ และบรรดาฟาสต์ฟู้ดชื่อคุ้นเคยเปิดอยู่แทบครบ รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าที่มีร้านแบรนด์เนมอยู่บ้าง และตลาดนัดยามค่ำที่มีของกินน่าสนใจให้ชิมเพียบ ราคาก็ไม่แพง สังเกตว่าคนที่นี่เขาคงชอบกินไก่ย่าง โดยเฉพาะส่วนบั้นท้าย เห็นเสียบไม้ย่างควันโขมงอยู่หลายร้าน และถึงแม้ประเทศมุสลิมจะห้ามดื่มและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ร้านขายเครื่องดื่มก็มีน้ำหวานหลากสีให้เลือกตักใส่แก้วขายกันคึกคัก

อีกจุดหนึ่งของเมืองหลวงที่คึกคักตลอดทั้งวันก็คงหนีไม่พ้นท่าเรือบริเวณ The Waterfront ซึ่งเป็นท่าเรือหลักสำหรับข้ามไปฝั่งกัมปงแอร์ (Kampong Ayer) หรือหมู่บ้านที่สร้างอยู่บนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุดนี้มีเรือโดยสารรับส่งลูกค้ากันทั้งวัน ซึ่งหลังจากการได้ข้ามฟากไปฝั่งกัมปงแอร์กับเขาบ้าง ฉันก็เข้าใจเพราะฝั่งนี้มีประชากรกว่า 20,000 คน อาศัยอยู่ มีทางเดินระหว่างบ้านต่อบ้านเหนือน้ำสำหรับเดิน ขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ บ้านเรือนก็สร้างต่อกันไปเรื่อยๆ บางช่วงจากบ้านไม้เก่าก็กลายเป็นบ้านปูนสมัยใหม่ เรือโดยสารบางทีก็ซอกแซกเข้าคลองซอย จอดส่งถึงบ้าน หากนึกภาพไม่ออกก็ให้คิดถึงชุมชนคลองร้อยสาย สุราษฎร์ธานี หรือเกาะเกร็ด นนทบุรี ในขนาดที่กว้างใหญ่กว่า แต่ถ้าจะทำความเข้าใจคนในชุมชนเก่าแก่นี้ให้ดีขึ้น ก็ต้องเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Kampong Ayer Cultural&Tourism Gallery ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ยุคแรกเริ่มถึงปัจจุบัน รวมทั้งความสำคัญในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งฝั่งนี้เคยเป็นที่ว่าการของรัฐบาลด้วย

เด็กชาวมุสลิมเพิ่งกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านที่ฝั่งกัมปงแอร์ (Kampong Ayer)

มองย้อนกลับไปจะเห็นอนุสาวรีย์ Mercu Dirgahayu 60 ซึ่งสร้างเป็นที่ระลึก

ในปีที่องค์สุลต่านแห่งบรูไนทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา

ดูเหมือนบรรดาเรือรับจ้างที่ท่าเรือ Waterfront ซึ่งคอยรับส่งคนจากฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปที่ฝั่งกัมปงแอร์

จะเป็นความเคลื่อนไหวที่ปรู๊ดปร๊าดที่สุด ท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน

ไม่ไกลจากกัมปงแอร์ ซึ่งสามารถจ้างเรือไปเที่ยวต่อได้ก็คือ เกาะป่าชายเลนปุเลารังกุ (Pulau Ranggu) นั่งเรือแค่ 15 นาที จากท่าเรือในเมือง จะเรียกเกาะนี้ว่าเป็นป่าในเมืองก็ไม่ผิดนัก เกาะนี้เป็นป่าชายเลนที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำบรูไน และมองเห็นได้จากในเมืองด้วยซ้ำแค่เริ่มเข้าเขตป่าก็ได้เห็นสัตว์ป่าเลย หมูป่าเดินผ่านเงาไม้ให้เห็นแวบๆ ไม่นานฉันก็เห็นจระเข้ตัวย่อมๆ นอนอ้าปากอยู่กลางแสงแดด ขณะที่นกน้ำก็เดินหากินอยู่ไม่ไกลนัก เจ้าจระเข้นี่ยังเจออีก 2-3 ตัวตลอดระยะเวลาที่ล่องเรือด้วย ส่วนครอบครัวลิงแสมก็นั่งกินปูอยู่บนตลิ่งแบบสบายใจ

ลิงจมูกยาว หรือ Proboscis Monkey เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบบนเกาะบอร์เนียวเพียงแห่งเดียวในโลก จัดเป็นสายพันธุ์ที่หาดูได้ยาก

แต่สำหรับที่บรูไน นั่งเรือจากท่าเรือหลักในเมืองไปไม่ไกล ก็อาจพบเห็นได้ไม่ยากจากในป่าชายเลน

แต่เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่นซึ่งไกด์บอกฉันว่าจะได้เจออาจต้องเพิ่งโชคด้วยก็คือ ลิงจมูกยาว หรือ Proboscis Monkey ซึ่งครั้งนี้ฉันก็มากับดวงอีกแล้วเมื่อได้เจอกับลิงจมูกยาวถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกมากันทั้งครอบครัวแต่แอบอยู่หลังต้นไม้ไกลๆ เลยได้แค่มอง จนกระทั่งเกือบจะออกจากป่านั่นแหละ อยู่ๆ ก็มีลิงจมูกยาวตัวหนึ่งเดินมานั่งเหงาๆ อยู่ริมตลิ่ง นั่งนานซะจนฉันถ่ายรูปไปเยอะพอสมควร ลิงจมูกยาวถือเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่สามารถพบเห็นได้บนเกาะบอร์เนียวเท่านั้น มีขนส่วนหัวและหลังเป็นสีส้ม มือและเท้ายาวสีขาว ตัวผู้มีจมูกยาวใหญ่กว่าตัวเมีย และด้วยความรักสงบของมัน จึงไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป นอกจากเดินทางไปแหล่งอนุรักษ์หรือเข้าไปในป่าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยโดยตรง ซึ่งป่าชายเลนในเมืองบันดาร์เสรีเบกาวันก็เป็นแหล่งหนึ่งที่เจ้าพวกนี้อาศัยอยู่ บ่งบอกได้ว่าป่านี้ยังสมบูรณ์และถูกรบกวนไม่มากทั้งๆ ที่อยู่ใกล้เมืองขนาดนี้

.......................................

กลับมานั่งเล่นในร้านกาแฟกลางเมือง แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ภาพของผู้คนและบ้านเมืองในบรูไนที่ได้พบเห็นช่างแตกต่างไปจากที่จินตนาการไว้จริงๆ พวกเขาดูใช้ชีวิตเรียบง่ายแถมเต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรี ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เห็นใครที่ดูรวยเว่อร์ ไม่เห็นรถหรูขับเต็มเมือง ถึงไกด์ท้องถิ่นจะบอกว่าทุกบ้านต่างมีรถยนต์ส่วนตัว มีขนส่งมวลชนไม่ถี่เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ แต่การจราจรกลับไม่แออัด บ้านเรือนที่อาศัยบนแม่น้ำบรูไนก็ไม่ทิ้งขยะให้สกปรก ถึงจะเป็นบ้านเมืองที่มีสีสันชีวิตไม่ฉูดฉาด แต่ก็น่าอยู่

ลึกเข้าไปในป่าบอร์เนียว

สีสันของธรรมชาติเมื่อพระอาทิตย์เพิ่งลับแนวป่าไปไม่นาน

นอกจากฟ้าเปลี่ยนสี หากนิ่งฟังจะได้ยินสรรพสัตว์ในป่าฝนส่งเสียงมาจากทุกทิศทาง

เที่ยวตามสถานที่สำคัญใน BSB อย่างพิพิธภัณฑ์ Royal Regalia และมัสยิดที่ยิ่งใหญ่และงดงามอย่างมัสยิด Jame’Asr Hassanil Bolkiah ก็อาจพอบอกใครๆ ได้ว่ามาประเทศบรูไน แต่ถ้าจะรู้จักประเทศนี้อย่างแท้จริง สมควรต้องไปเยือน อุทยานแห่งชาติอูลูเต็มบุรง (Ulu Temburong National Park) ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประเทศ ซึ่งการเดินทางก็ต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเพราะเริ่มจากนั่งเรือไปตามป่าชายเลน ผ่านแดนมาเลเซีย เข้าเขตเต็มบุรงเปลี่ยนเป็นทางรถยนต์ และไปต่อเรือหางยาวอีกทอด คราวนี้เรือจะพาลึกเข้าไปในเขตของอุทยานฯ ท่ามกลางความรกครึ้มของไม้ใหญ่ และสายน้ำที่เชี่ยวเพราะมีแก่งหินเป็นบางช่วง แต่ก็ถือเป็นการเดินทางที่ได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติไม่น้อย

ในโปรแกรมท่องเที่ยวอุทยานฯ นี้จะประกอบด้วย การนั่งห่วงยางไปตามลำน้ำการเดินเทร็คกิ้งในป่าทั้งตอนกลางวันและกลางคืน และไฮไลท์สำคัญที่สุดคือกิจกรรมเดินเหนือยอดไม้ หรือ Canopy Walk ฉันมาถึงที่อุทยานปุ๊บก็ได้เริ่มเดินเทร็คกิ้งเข้าป่าเลย ซึ่งเส้นทางนี้จะต้องเดินไปตามลำธารน้ำตื้นระดับข้อเท้าถึงเข่า ชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าฝน และน้ำตกตามธรรมชาติ มีไต่ไปตามโขดหินบ้าง ทางชันบ้าง แต่โดยรวมเส้นทางไม่ได้สมบุกสมบันจนเกินไป ส่วนขากลับเรือหางยาวจะส่งลงกลางทางเพื่อให้ได้ล่องห่วงยางชิลล์ๆ จนถึงที่พัก นั่งฟังเสียงป่ากับสูดกลิ่นอากาศบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ ทิ้งโลกที่วุ่นวายไปสักพัก

เส้นทางเทร็คกิ้งในป่าช่วงกลางวันเพื่อไปชมน้ำตกธรรมชาติ ตลอดทางเป็นลำธารสูงระดับข้อเท้า สลับโขดหินที่อาจจะลื่นบ้าง จึงต้องระมัดระวังเวลาเดิน

ยามเช้าต้องรีบตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อออกเดินทางไปยังทางเดินขึ้น Canopy Walkway ทางเดินช่วงแรกคือบันไดขาขึ้นอย่างเดียว แต่เดินในความมืดเลยลืมนับ ได้ยินแต่เสียงลมกรูเกรียว เสียงสัตว์รายล้อมนานาชนิด และแมลงกรีดเสียงก้องหูแบบเซอร์ราวนด์ ทั้งน้ำค้างและลมทำให้อากาศเย็นจนหนาว ไม่นานแสงสว่างมาก็พอดีกับที่เดินมาถึงทางขึ้นจริงๆ ของ Canopy Walkway ซึ่งเป็นโครงสร้างโลหะสูงแบบตั้งฉากกับพื้นป่ากว่า 60 เมตร

เก็บอาการหวาดเสียวแล้วไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุด! เมื่อมาถึงยอดสุดของบันได ภาพที่เห็นเรียกคืนความสดชื่นกลับมาแทบจะทันที เพราะมันคือผืนป่าเขียวชอุ่มที่แซมไปด้วยหมอกลอยละล่องเป็นชั้นๆ อย่างสวยงาม เป็นมุมมองเหนือยอดไม้แบบ 360 องศา บนนี้ไม่มีใคร มีแต่ตัวเรากับป่าและเสียงของสรรพสัตว์ที่เริ่มออกหากิน เดินเล่นอยู่บนทางเดินนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าได้สูดหายใจเต็มๆ ปอดจนคุ้ม ขณะที่กล้องเก็บภาพประทับใจไว้มากมาย เช่นเดียวกับในความทรงจำ

เมื่อเดินทางมาที่อุทยานแห่งชาติอูลูเต็มบุรง ต้องไม่พลาดมายืนอยู่บนจุดที่สูงเหนือยอดไม้อย่าง Canopy Walkway

โดยเฉพาะในยามเช้าตรู่หลังฝนตกผ่านพ้นไปจะเกิดสายหมอกปกคลุมไปตามยอดไม้ไกลสุดสายตา

ตกดึก ฉันยังได้เดินป่าตอนกลางคืนส่งท้ายอีกรอบ ท่ามกลางความมืดมิดของป่าบอร์เนียวมีเพียงพระจันทร์เต็มดวงให้แสงสว่าง เราเดินไปเจอสัตว์แปลกๆ อย่างกบ Bornean Horned Frog และงู Yellow-Ringed Cat Snake ที่เลื้อยอยู่ใกล้ๆ เท้า แม้จะกระตุ้นให้ใจหายแวบ แต่ก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่ผ่านมาได้แบบไม่มีวันลืม

ในคืนพระจันทร์เต็มดวง การเดินเทร็คกิ้งในป่าตอนกลางคืนจึงอาจได้เจอกับงู อย่างเช่น เจ้า Yellow-Ringed Cat Snake ตัวนี้ที่ออกมารอกินสัตว์ตัวเล็กๆ

Bornean Horned Frog ตัวนี้นั่งนิ่งๆ เหมือนหุ่น ไกด์เดินป่าบอกว่า

เป็นการพยายามพรางตัวจากศัตรู จนกว่าเราจะเดินผ่านเขาไป

ในคืนนั้นฉันนอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคาห้องพักกับลมพัดป่าให้โยกไปโยกมา ภาพที่ยังติดตาคือความมืดสนิทขณะเดินอยู่ในป่าก่อนหน้านี้ และเมื่อเราดับไฟฉาย รอบๆ ตัวกลับเหลือแต่แสงเล็กๆ ของหิ่งห้อยล่องลอยเต็มไปหมด จนไม่แน่ใจว่ากำลังฝันหรือว่าตื่นอยู่กันแน่

.......................................

TRAVELLER’S GUIDE

HOW TO GET THERE :

สามารถบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ด้วยสายการบินประจำชาติของบรูไน

HOW TO GET AROUND :

• ประเทศบรูไนมีฝนตกเกือบทั้งปี แต่ฤดูฝนชุกจะอยู่ระหว่างพฤศจิกายน-มีนาคม

• ใช้เงินสกุลดอลลาร์บรูไน (Brunei Dollar) อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 24-25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์บรูไน

• สามารถติดต่อซื้อทัวร์ท้องถิ่นได้ที่สนามบิน หรือหากมีใบขับขี่สากล สามารถเช่ารถขับได้จากสนามบิน

• บรูไนมีระบบขนส่งมวลชนแต่รถไม่ถี่เท่ากับเมืองใหญ่อื่นๆ การรอรถเมล์อาจใช้เวลานาน ส่วนแท็กซี่ต้องโทรฯ เรียกเท่านั้น

• คำแนะนำคือเดินเที่ยวในตัวเมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลักจะอยู่ไม่ไกลกันนัก เช่าเรือเที่ยวกัมปงแอร์ และป่าชายเลน ส่วนอุทยานอูลูเต็มบุรง ควรติดต่อจองแพ็คเกจทัวร์และที่พักล่วงหน้า เนื่องจากห้องพักมีจำกัด

MORE INFORMATION :

• http://www.bruneitourism.travel/

• http://www.uluuluresort.com/

Comments


bottom of page